ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

นักเตะต่างชาติดาบสองคมกับการพัฒนาวงการฟุตบอลไทย


    ณ ปัจจุบันนี้ก็ก้าวเข้ามาถึงปีที่  16 แล้ว สำหรับการถือกำเนิดฟุตบอลอาชีพในเมืองไทยของเรา ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้ทำให้ทุกสายตาของคนไทยได้เห็นถึงความปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาในหลาย ๆ ด้านกว่าจะมีความพร้อมมาจนถึงทุกวันนี้ต้องใช้เวลานานนับสิบๆปีเลยทีเดียวทั้งในด้านการจัดการแข่งขัน การตลาด รวมถึงการสร้างฐานแฟนคลับ ที่ในอดีตเหมือนนักเตะจะต้องแข่งเองดูเอง แต่ ณ ปัจจุบันนี้แต่ละสนามแทบไม่มีพื้นที่ว่างให้สำหรับผู้ที่ตัดสินใจล่าช้าที่จะเดินทางมาชมการแข่งขัน
      หากจะมองไปในหลาย ๆ มุม ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้วงการฟุตบอลบ้านเราดูมีสีสัน มีความน่าสนใจในตัวและแสดงให้เห็นการพัฒนาวงการไปขางหน้าอย่างไม่มีขีดจำกัดหากจะมองย้อนไปเมื่อ 15 ปีที่แล้วจะมองเห็นได้เลยว่าการมีนักเตะต่างชาติเข้ามาร่วมทีมนั่นเอง ซึ่งการมีนักเตะต่างชาติร่วมอยู่มนทีมฟุตบอลอาชีพบ้านเรานั้นหาใช่จะมีการเริ่มต้นเมื่อไม่นานนี้ไม่ แต่เราสามารถบอกได้เลยว่าที่เรามีนักเตะต่างชาติร่วมอยู่ในทีมฟุจตบอลบ้านเรานั้นมีมาตั้งแต่การแข่งขันครั้งแรกโดยทีมที่นำนักเตะต่างชาติเข้ามาเล่นนั้นส่วนใหญ่จะเป็นทีมองค์กรที่มีฐานะการเงินตชค่อนข้างดีสามารถกว้านซื้อนักเตะจากทั่วสารทิสมารวมอยู่ในทีมเพื่อพาทีมประสบความสำเร็จตั้งแต่ไทยลีกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา อาทิเช่น ตลาดหลักทรัพย์ ที่ตอนนั้นมีนักเตะจากแองโกลา ร่วมที่อยู่คือ 2 พี่น้องบรันเดา และนักเตะจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาร์อย่าง อ่องไก ร่วมทีมอยู่ หรือจะเป็นสิงห์ธำรงค์ไทยสโมสรที่มีนักเตะเมียนมาร์และบราซิลร่วมทีมอยู่จะมากกว่าคนไทยอีกต่างหาก อีมทีมก็จะเป็นสิงห์เทโรศาสน หรือบีอีซี เทโรในปัจจุบัน ก็มีนักเตะต่างชาติเต็มทีมเช่นกัน ส่วนทางยาสูบก็มี บิลลี่ บิลลี่ เย็บ ที่มาสร้างสีสันให้กับวงการฟุตบอลบ้านเราไม่น้อย ทำให้เราเห็นได้ว้าในอดีตที่ผ่านมานักเตะต่างชาติจำนวนไม่น้อยที่สนใจค้าแข้งในฟุตบอลบ้านเราแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราจะเห็นได้ว่าสิ่งหนึ่งที่เรายังไม่ได้มีการกำหนดหรือตั้งกฎเกณฑ์อย่างจริงจังคือการจำกัดการลงเล่นหรือการมีนักเตะไว้ในครอบครองเพราะในช่วงแรกๆนั้นแต่ละสโมสรใครมีงบประมาณที่สูงก็สามารถเสาะแสวงหานักเตะต่างชาติเข้ามาร่วมทีมและสร้างชัยชนะให้กับทีมได้


      ย้อนมามองในอีกมุมหนึ่งฟุตบอลอาชีพเปรียบเสมือนเวทีพิสูจน์ฝีเท้า  ความสามารถในเชิงลูกหนังของเหล่าบรรดานักเตะทั่วสารทิศโดยเฉพาะไปประเทศของตัวเอง เปรียบเสมือนเวทีประกวดที่เปิดให้นักเตะแสดงความสามารถอย่างเต็มที่แต่เมื่อมีนักเตะต่างชาติเข้ามาอย่างมากมายอย่างไม่มีขีดจำกัดทำให้นักเตะไทยไม่ค่อยมีโอกาสจะพิสูจน์ตัวเองสำหรับบางทีมที่มีนักเตะต่างชาติอยู่มากมายจึงได้มีการตั้ง กฎ กติกา มารยาท ในเรื่องนี้ขึ้นมาว่า นักเตะต่างชาติจะสามารถลงเล่นในสนามได้เพียง 3 คนเท่านั้น และแต่ละสโมสรให้มีนักเตะต่างชาติร่วมอยู่ในทีมเพียง 5 คนเท่านั้น ซึ่งก็ได้ใช้ กฎ กติกา มารถยาท ตัวนี้มาชั่วระยะเวลาหนึ่งซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี เป็นที่ยอมรับของแต่ละสโมสรและก็ดำเนินการมาเรื่อยจนถึงปัจจุบันนี้
      และเมื่อไม่นานมานี้ทาง  บ.ไทยพรีเมียร์ลีกก็ได้มีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลง  กฎ ข้อบังคับ ในเรื่องนี้เพราะเนื่องจากว่าหลายๆสโมสรที่มีนักเตะและต้องการนักเตะร่วมทีมเป็นจำนวนมากด้วยมีเงินทุนในการทำทีมที่มากมายซึ่งถือเป็นความได้เปรียบในการที่จะสามารถนำเงินทุนตรงนี้มาสร้างความสำเร็จให้กับสโมสรจึงได้มีการประชุมพิจารณากันขึ้นมายกใหญ่โดยได้เชิญเอาตัวแทนของแต่ละสโมสรเข้าร่วมประชุมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาและเสียงส่วนใหญ่ก็เห็นดี เห็นงาม กับ กฎ กติกา มารยาท ตรงนี้ ซึ่งก็ตรงใจหลายๆสโมสรเลยทีเดียวทั้งนี้หลายๆความคิดเห็นต่างก็ให้เหตุผลว่าเป็นการพัฒนาวงการฟุตบอลบ้านเราให้มีการพัฒนาไปในทางที่ดีและเป็นที่น่าสนใจสามารถดึงดูดนักเตะต่างชาติให้เข้ามาค้าแข้งในเมืองไทยของเราซึ่งฟังดูแล้วก็มีหตุผลดูดีไม่น้อยเพราะคงไม่มีใครไม่อยากเห็นวงการฟุตบอลบ้านตัวเองมีการพัฒนาไปในทางที่ถูกที่ควร
      ในทางกลับกันหากจะมองไปในสนามฟุตบอลมีนักเตะที่สามารถลงทำการแข่งขันได้  11 คน จากในอดีตที่มีนักเตะไทยสามารถลงเล่นในสนามได้ถึง 7 คน ที่สามารถโชว์ฝีไม้ลายเท้าได้อย่างเต็มที่ซึ่งดูๆไปแล้วก็สมน้ำสมเนื้อดี แต่ในปีนี้การเพิ่มโควต้านักเตะขึ้นมาทำให้เหมือนกับไปลดโควต้านักเตะของทีมตัวเองไปอย่างน่าเสียดายเพราะอย่างที่บอกสังเวียนแข้งอาชีพก็เปรียบเสมอืนเวทีพิสูจน์ความสามารถของนักเตะไทยที่หวังจะก้าวเข้าสู่เวทีระดับชาติต่อไปหากแต่ทางทีมจะมุ่งเน้นความเป็นหนึ่งในเส้นทางสายนี้แต่กลับไม่มองเห็นถึงอนาคตของเหล่าบรรดานักเตะในทีมทุกอย่างก็จบแล้วก็จะมีคำถามที่ตามต่อกันมาว่า”เมื่อไหร่บอลไทยจะได้ไปบอลโลก” เอ เอฟ ซี เองก็มีนโยบายอยากจะพัฒนาวงการฟุตบอลบ้านเราให้เจริญก้าวหน้าคืออยากให้แต่ละประเทศซื้อนักเตะต่างชาติแต่ขอเป็นนักเตะที่มาจากโซนเอเชียเป็นหลักและหลายๆประเทศก็เห็นพ้องต้องกันกับนโยบายดังกล่าว
      เราลองมามองฟุตบอลอาชีพของประเทศในโซนเอเชียบ้านเราอย่างประเทศญี่ปุ่นที่ถือว่าเป็นสุดยอดแห่งฟุตบอลอาชีพในดินแอนเอเชียแห่งนี้ก็มีกฎที่เหมาะสมดีที่ใช้ว่า 3+1 หรือง่ายๆ คือนักเตะต่างชาติสามารถลงสนามได้สี่คนแต่หนึ่งในสี่ต้องเป็นนักเตะต่างชาติในโซนเอเชียนี่คือกฎที่เจลีกได้กำหนดไว้นั่นเองซึ่งดูแล้วก็เหมือนกับพบกันครึ่งทางเพราะถ้าไม่ดีจริงเจลีกของไม่ผ่านการประเมินของ เอ เอฟ ซี ถึง 100% เป็นแน่แท้
      หรือจะมาดูประเทศใกล้ๆโซนอาเซียนของเราอย่างเวียดนามที่มีนักเตะบ้านเราเป็นสินค้าขายดีไปเล่นที่นั่นมาหลายยุคหลาทยสมัยโดยเฉพาะสตาร์ดังๆอย่าง ซิโก้ เกียรติศักดิ์  เสนาเมือง หรือเดอะแบน ตะวัน ศรีปาน และที่ยังหลงเหลืออยู่ในวีลีกขณะนี้ก็มี ดุสิต เฉลิมแสน  ที่ตอนนี้ผันตัวเองเป็นโค้ชไปแล้ว และ ศักดา เจิมดี กับ นิรุจน์ สุระเสียง และ อิศวะ สิงห์ทอง อีกคนหนึ่ง ที่เวียดนามก็มีการให้นักเตะสามารถถือสองสัญชาติได้เพื่อจะได้เป็นการลดโควต้านักเตะต่างชาติที่ลงแข่งขันก็ถือว่าเป็นการพัฒนาอีกอย่างหนึ่งแต่ไทยเราทำไม่ได้เพราะมีกฎหมายเกี่ยวกับการถือสัญาชาติอยู่เหมือนกัน
      เรื่องนักเตะต่างชาตินี้เราก็มองได้หลายมุมมองว่ามีทั้งผลดีและผลเสียต่อวงการฟุตบอลบ้านเราในปัจจุบันนี้ลองมามองในผลดีกันก่อนว่าการที่เรามีนักเตะต่างชาติเข้ามาเล่นในลีกอาชีพบ้านเรา
      1. เป็นการยกระดับของฟุตบอลอาชีพในบ้านเราให้มีระดับที่สูงขึ้นดูมีความน่าสนใจอยู่ในตัวเพราะการที่ลีกอาชีพไม่ว่าชาติใดมีนักเตะต่างชาติเข้ามาก็เป็นที่ดึงดูดใจของบรรดาเหล่าแฟนบอลทั้งหลายที่เข้ามาชมและเชียร์ในสนาม
      2. ทำให้ฟุตบอลอาชีพบ้านเรามีการยกระดับมาตรฐานมากขึ้นเพราะการที่มีนักเตะต่างชาติเข้ามาค้แข้งก็เมหือนว่าฟุตบอลอาชีพบ้านเรานี้ก็ถือว่ามีระดับพอสมควรไม่เช่นนั้นก็คงไม่มีนักเตะต่างชาติสนใจที่จะเข้ามาค้าแข้ง
      3.จะสังเกตได้ว่าผลงานของทีมที่มีนักเตะต่างชาติเข้าร่วมทีมส่วนใหญ่ผลงานในทีมจะออกมาค่อนข้างดีและอยู่ในอันดับต้นๆของตารางเพราะนักเตะเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีพื้นฐานและประสบการณ์ค่อนข้างสูงมีส่วนช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จไม่น้อย
      แต่ในเมื่อมีผลดีต่อทีมผลกระทบที่ตามมาก็มีเช่นกันเพราะเหรียญยังมีสองด้านดังนั้นมีผลดีก็ต้องมีผลเสียที่ตามมาเป็นธรรมดาซึ่งที่เห็นๆอย่างชัดเจนก็พอจะสรุปได้ดังนี้
      1.การที่นักเตะต่างชาติกลายเป็นแกนหลักของทีมแล้วทำให้ความสำคัญของนักเตะไทยลดลง นักเตะไทยมีโอกาสลงสนามน้อยและไม่มีโอกาสที่จะพิสูจน์ตัวเองให้กับบรรดาเหล่าผู้ฝึกสอนระดับทีมชาติได้มองเห็นทำให้นักเตะหลายๆคนหมดโอกาสรับใช้ชาติ
      2.นักเตะในทีมไม่มีบทบาทในเกมการแข่งขันจะสังเกตว่านักเตะหลายๆคนที่มีฝีมือเคยรับใช้ชาติกลับถูกดรอปไปเป็นตัวสำรองของทีมจนแทบไม่มีโอกาสได้ลงสนามจนต้องระหกระเหินหาทีมที่เหมาะสมกับตนเองเพื่อจะได้มีโอกาสพิสูจน์ตัวเองให้มากขึ้น
      3.วัฒนธรรมประเพณีที่ต่างกันบางครั้งบางทีก็จะเห็นตามข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ว่านักเตะเหล่านี้จะสร้างปัญหาภายในทีมบ่อยๆ หลายๆเรื่อง ทำให้มักจะมีปัญหาภายในเสมอ
      ดังนั้นเราจึงพอจะสรุปได้ว่าการมีนักเตะต่างชาติในทีมนั้นนับเป็นผลดีต่อวงการฟุตบอลบ้านเราไม่น้อยเลยทีเดียวแต่ในทางกลับกันก็มีผลกระทบต่อตัวนักเตะบ้านเราไม่น้อยเลยทีเดียวเพราะก็อย่างที่เป็นที่รู้กันนักเตะบ้านเราแต่ละคนต่างก็พยายามใช้สังเวียนแข้งแห่งนี้เป็นบันไดสู่ทีมชาติหลายๆคนก็ไต้เต้าจากลีกภูมิภาคไปจนถึงไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก หรือบางคนก็ยังบุกป่าฝ่าดง หอบหิ้วสตั๊ดคู่ใจ ข้ามน้ำข้ามทะเลมาพิสูจน์ตัวเองถึงในป่าคอนกรีตเมืองกรุงเพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศในเชิงลูกหนัง แต่กว่าจะมาถึงตรงจุดสูงสุดได้ก็เป็นธรรมดาที่ต้องมีการแข่งจันกันในทีมหลายขั้นตอนกว่าจะได้ลงเล่นเริ่มตั้งแต่คัดเลือกเข้าไปให้มีชื่อเป็นผู้เล่นเซ็นสัญญากับทีม หลังจากนั้นก็ไปพิสูจน์ตัวเองให้ได้เป็น 11 ตัวจริงของทีมให้ได้นอกจากฝ่าฟันกับคู่แข่งชาติเดียวกันแล้วยังเจอต่างชาติเข้ามาอีกก็ทำให้ต้องมีความกระตือรือร้นมากขึ้นแต่บางทีก็ทำเอาเหล่าบรรดานักเตะเหล่านั้นท้อแท้เป็นเหมือนกัน
      แต่อย่างไรก็ดีไม่ว่าทีมใดจะมีนักเตะต่างชาติร่วมทีมหรือไม่ก็ตามสิ่งสำคัญที่สุดที่คือศรัทธาอันแรงกล้าจากแฟนบอลบ้านเราทุกท่านที่จะต้องคอยเป็นแรงใจให้เหล่าบรรดานักเตะที่กำลังต่อสู้กันในเกมลูกหนังให้มีแรงใจในการต่อสู้ฝ่าฟันเพื่อทีมเพ่ออนาคตและเพื่อชาติต่อไปดังคำกล่าวที่ว่า
      กีฬาสร้างคน คนสร้างกองทัพ กองทัพสร้างชาติ
                                    ลูกหนังลายพราง

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เย็นทั่วหล้ามหาสงกรานต์

สวัสดีปีใหม่ไทย เทศกาลสงสงกรานต์ หลายทีมในลีกอาชีพใด้พักซ้อม 2-3 วัน แต่มีทีมเดียวคือ จุฬา ยูไนเต็ด ซ้อมช่วงเทศกาลสงกรานต์ กุนซือใหญ่ชาวแซมบ้า โจเซ่ แฟร์ไรร่า สุดเฮี้ยบ สั่งนักเตะซ้อมตะลุยช่วงสงกรานต์เต็มที่แบบไม่มีหยุดสงกรานต์ อีกทีมที่หยุดวันเดียวคือ แบงค็อก ยูไนเต็ด หวั่นนักเตะกลับมาหมดสภาพ สั่งให้พักแค่ 13 เม.ย. วันเดียว นักเตะอาชีพเป็นงานที่แปลกกว่าอาชีพอื่นมากเลยครับ เทศกาลสงกรานต์นี้ก็ขอให้เที่ยวกันให้สนุกนะครับ สุขสันต์วันสงกรานต์ครับ rich_t

ทีโอทีขึ้นป้ายขายกบไซเบอร์อย่างต่ำ1ล้าน

ความเคลื่อนไหวของทีมฟุตบอลในศึก ไทยพรีเมียร์ลีก 2009 ช่วงพักเบรกให้ทีมชาติไทย อุ่นเครื่องกับ นิวซีแลนด์ 2 นัด โดย ทีโอที เอฟซี ทีมอันดับ 7 ของตาราง จากการออกสตาร์ต 3 นัดแรก ได้ตั้งราคาขายนักเตะซูเปอร์สตาร์ประจำทีมดีกรีทีมชาติไทย "กบ ไซเบอร์" สุเชาว์ นุชนุ่ม มิดฟิลด์เจ้าของเสื้อหมายเลข 8 ของทีม ที่ถือเป็นนักเตะแม่เหล็กประจำทีมอย่างแท้จริง ที่ราคาถึง 1 ล้านกว่าบาทเป็นอย่างต่ำ "โค้ชก๊อก" พงษ์พันธ์ วงษ์สุวรรณ ผจก.ทีมทีโอที กล่าวว่า "ไม่ใช่ว่าเราคิดจะขาย สุเชาว์ นุชนุ่ม เพราะเขาถือเป็นนักเตะที่เป็นกำลังหลักสำคัญของเราในขณะนี้ แต่หากมีทีมไหนต้องการอยากได้ตัวเขาไปเล่นให้จริงๆ ในฟุตบอลอาชีพ โดยเราตั้งราคาขายไว้ที่หลัก 1 ล้านบาทเป็นอย่างต่ำ เพราะเขาเล่นกับเรามานาน เรื่องฝีเท้าการันตีความสามารถได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการมีดีกรีติดทีมชาติอย่างต่อเนื่อง" "หากถามผมว่า อยากจะขายให้ทีมในประเทศหรือไม่ คงไม่อยากขาย แต่ต้องการให้เขามีโอกาสได้ไปเล่นกับลีกต่างชาติมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเอสลีกของสิงคโปร์หรือวีลีกของเวียดนาม เพื่อมีโอกาสได้ไปเก็บเงินสักก้

ชัยนาทเปิดตัวชุดแหวกแนวทุ่มงบ200ล้านเปลี่ยนชื่อหวังติดท็อปไฟ

ชัยนาท ฮอร์นบิล ในชื่อใหม่เปิดตัวชุดแข่งขัน 2014 สุดฉีกแนวพร้อมประกาศงบ 200 ล้านบาทเทียบเท่าบิ๊กทีมหวังผฝาดท็อปไฟว์ของตาราง สโมสรชัยนาท ฮอร์นบิล หรือ ชัยนาท เอฟซี เดิม จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวความพร้อมฤดูกาล 2014สนามเขาพลอง สเตเดี้ยม เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา (15 ก.พ.) โดยมี อนุชา นาคาศัย ประธานสโมสรเป็นประธานในงาน พร้อมด้วยตัวแทนผู้สนับสนุน สตาฟฟ์โค้ช และนักกีฬาร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้ ชัยนาท ตัดสินใจนำคำว่า ฮอร์นบิล (hornbill) ซึ่งแปลว่านกเงือกสัญลักษณ์ประจำสโมสรและจังหวัดมาต่อท้ายชื่อ พร้อมกับประกาศทุ่มงบประมาณมหาศาลถึง 200 ล้านบาท เทียบเท่ากับสโมสรชั้นนำ โดย "เสี่ยแฮงค์" ประธานสโมสรหวังพาทีมจบ 5 อันดับแรกของตารางไทยพรีเมียร์ลีก "ทีมชัยนาทในปีนี้ทุ่มงบประมาณไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท ในการปรับปรุงทีม ไม่ว่าจะเป็นการส่วนซื้อตัวผู้เล่นผู้เล่นทั้งไทยและต่างชาติ รวมถึงการปรับปรุงสนามแข่งขันให้ได้มาตรฐานกว่าเดิม เพื่อให้สโมสรมีความแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่มากขึ้น โดยเป้าหมายอย่างต่ำต้องติดท็อปเท็นของตาราง แต่จะให้ดีต้องติด 1 ใน 5 ถ้าทำได้ถือว่าประสบความสำเร็จ" สุรชัย จตุรภั