หากจะย้อนเหตุการณ์ที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นการแข่งขันฟุตบอลนัดอัปยศในรายการ ไทยคม เอฟ เอ คัพ เมื่อวันที่ 26 ส.ค.53 ในการแข่งขันระหว่างทีม ทหารบก หรือ อาร์มี่ ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน กับ บุรีรัมย์ พีอีเอ ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่าการแข่งขันในรายการนี้คือพบกันครั้งเดียวใครแพ้ก็คัดออก จึงเป็นธรรมดาที่นักเตะทั้งสองทีมต่างก็กระหายชัยชนะเพื่อจะพาทีมของตนเข้าสู้รอบลึกๆที่รออยู่
แต่ในความต้องการชัยชนะนั้นทั้งสองทีมก็ต่อสู้กันในเกมลูกหนังอย่างเต็มที่ เต็มความสามารถที่มีอยู่ของนักเตะแต่ละคนแต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นในการแข่งขันครั้งนี้เมื่อมีการกระทบกระทั่งกันอย่างรุนแรงของนักเตะทั้งสองทีมซึ่งเหตุการณ์ในวันนั้นในสนามก็เหมือนสงครามที่ยืดเยื้อเพราะทั้งสองทีมทำอะไรกันไม่ได้ในเวลา 90 นาที ต้องต่อเวลาออกไปจนประตูชัยมาเกิดขึ้นในนาทีที่ 100 จาก ธนากร แดงทอง ผู้เล่นของทีมทหารบก ทำให้จบเกม ทหารบก เอนะ บุรีรัมย์ พีอีเอ ไป 1-0 ผ่านเข้าไปเล่นในรอบต่อไปตามระเบียบ แต่เหตุการณ์ที่ทำให้การแข่งขันคู่นี้ถูกกล่าวขานว่าเป็นคู่อัปยศก็เนื่องจากว่ามีใบแดงเกิดขึ้นถึงสามใบและมีการทำร้ายผู้ตัดสินเกิดขึ้นในการแข่งขันนี้ด้วยซึ่งนักเตะที่โดนใบแดงประกอบด้วยนักเตะของ ทหารบก 2 คน ได้แก่ ธาตรี สีหา และ อนุวัฒน์ น้อยชื่นพันธ์ และ ทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ 1 คน คือ แอนเดอร์สัน โดส ซานโตส
เมื่อมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นก็เป็นธรรมดาที่ต้องลงโทษนักเตะไร้มารยาทเหล่านั้นเป็นธรรมดาแล้วเมื่อวันที่ 30 ส.ค.52 ที่ผ่านมา ที่สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยก็ได้ดำเนินการพิพากษาคดีนักเตะและสตาฟโค้ชของทั้งสองทีมโดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มความผิด ดังนี้ กลุ่มนักเตะที่โดนใบแดง คือ ธาตรี สีหาที่ไปตบหน้าผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม อนุวัฒน์ น้อยชื่นพันธ์ที่ไปผลักผู้ตัดสิน และ แอนเดอร์สัน โดส ซานโตส ที่ถีบโต๊ะผู้ตัดสินที่ 4 ซึ่งถือว่าเป็นผู้กระทำความผิดอย่างร้ายแรง ส่วนกลุ่มที่สอง คือผู้กระทำผิดแบบไร้มารยาท คือ สามนักเตะจากกลุ่มที่ 1 อภิเชษฐ์ พุฒตาล และ ดักลาส การ์โดโซ ที่จงใจทำร้ายผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม ส่วนกลุ่มที่ 3 คือกลุ่มที่กระทำผิดนอกเกมการแข่งขันคือ ศุภชาติ อภิชาตยานนท์ และ สมพร ธัญญเจริญ ของทหารบก ที่ไม่ได้ลงเล่นแต่ก็เข้าไปร่วมเหตุการณ์ครั้งนี้
จากเหตุการณ์ทั้งหมดจึงได้บทสรุปคำพิพากษามาดังนี้ แอนเดอร์สัน ซานโตส โดนพักการแข่งขัน 1 นัด ใน ศึกเอฟเอคัพ ส่วน 2 นักเตะทหารบก ธาตรี สีหา กับ อนุวัฒน์ น้อยชื่นพันธ์ ถูกพักการแข่งขัน 2 นัด ส่วนความผิดในกลุ่มที่ 2 ถูกตัดคะแนนความประพฤติ คนละ 4 แต้ม และในกลุ่มที่ 3 โดนตัดไปคนละ 12 แต้ม และปรับ คนละ 4,000 บาท ซึ่งก็ถือว่าเป็นไปตามความสมเหตุสมผลจากการกระทำที่เกิดขึ้นของแต่ละบุคคลที่มีความผิดตามโทษฐานมากน้อยต่างกันไป
แต่ในส่วนของทีมทหารบกซึ่งเป็นทีมองค์กรยังไม่จบแค่นั้นกลับมีการสั่งลงโทษทางวินัยกับผู้เล่นของตนเองเพิ่มขึ้นอีกโดยทำการตัดเงินเดือน สองนักเตะที่โดนใบแดง 1 เดือน คือ ธาตรี สีหา และ อนุวัฒน์ น้อยชื่นพันธ์ พร้อมทั้งห้ามลงแข่งในรายการ ไทยคม เอฟ เอ คัพ และ โตโยต้า ลีกคัพ และยังทำทัณฑ์บน สตาฟโค้ชของทหารบกด้วยซึ่งทุกคนที่ถูกพิพากษาต่างก็ยืดอกรับความผิดสมกับความเป็นชายชาติทหารแม้จะถูกตราหน้าจากสังคมว่าเป็นผู้ก่อเกิดความรุนแรงในครั้งนี้ก็ตาม
ทั้งนี้ทั้งนั้นแสดงให้เห็นถึงความมีจิตสำนึกโดยแท้แม้จะเป็นทีมที่ดิ้นรนหนีการตกชั้นเพื่อความอยู่รอดในการแข่งขันระดับ ไทยพรีเมียร์ลีก ก็ยังยอมรับความผิดแม้จะต้องเสียผู้เล่นตัวหลักทั้งสองคนไปหลายนัดก็ตามแต่ก็ไม่มีการเรียกร้องหรืออุธร ฎีกา ใด ๆ ให้มากความ จะเห็นได้ว่าในความมืดย่อมมีแสงสว่างเสมอ แม้จะถูกตราหน้าว่าเป็นผู้กระทำไม่ดีแต่เมื่อกระทำความผิดก็ยอมรับผิดตามโทษานุโทส จึงถือว่าเป็นความน่ายกย่องอีกอย่างหนึ่งของทีมที่ขึ้นชื่อว่าเป็น รั้วของชาติ ผู้อยู่ในกฎ ในระเบียบ เป็นผู้มีวินัย แม้เหตุการณ์ในสนามเขาคือผู้กระทำผิดร้ายแรง แต่ นอกสนามเขาคือ ลูกผู้ชายไทย 100 %
นักเลงลูกหนัง
แต่ในความต้องการชัยชนะนั้นทั้งสองทีมก็ต่อสู้กันในเกมลูกหนังอย่างเต็มที่ เต็มความสามารถที่มีอยู่ของนักเตะแต่ละคนแต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นในการแข่งขันครั้งนี้เมื่อมีการกระทบกระทั่งกันอย่างรุนแรงของนักเตะทั้งสองทีมซึ่งเหตุการณ์ในวันนั้นในสนามก็เหมือนสงครามที่ยืดเยื้อเพราะทั้งสองทีมทำอะไรกันไม่ได้ในเวลา 90 นาที ต้องต่อเวลาออกไปจนประตูชัยมาเกิดขึ้นในนาทีที่ 100 จาก ธนากร แดงทอง ผู้เล่นของทีมทหารบก ทำให้จบเกม ทหารบก เอนะ บุรีรัมย์ พีอีเอ ไป 1-0 ผ่านเข้าไปเล่นในรอบต่อไปตามระเบียบ แต่เหตุการณ์ที่ทำให้การแข่งขันคู่นี้ถูกกล่าวขานว่าเป็นคู่อัปยศก็เนื่องจากว่ามีใบแดงเกิดขึ้นถึงสามใบและมีการทำร้ายผู้ตัดสินเกิดขึ้นในการแข่งขันนี้ด้วยซึ่งนักเตะที่โดนใบแดงประกอบด้วยนักเตะของ ทหารบก 2 คน ได้แก่ ธาตรี สีหา และ อนุวัฒน์ น้อยชื่นพันธ์ และ ทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ 1 คน คือ แอนเดอร์สัน โดส ซานโตส
เมื่อมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นก็เป็นธรรมดาที่ต้องลงโทษนักเตะไร้มารยาทเหล่านั้นเป็นธรรมดาแล้วเมื่อวันที่ 30 ส.ค.52 ที่ผ่านมา ที่สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยก็ได้ดำเนินการพิพากษาคดีนักเตะและสตาฟโค้ชของทั้งสองทีมโดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มความผิด ดังนี้ กลุ่มนักเตะที่โดนใบแดง คือ ธาตรี สีหาที่ไปตบหน้าผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม อนุวัฒน์ น้อยชื่นพันธ์ที่ไปผลักผู้ตัดสิน และ แอนเดอร์สัน โดส ซานโตส ที่ถีบโต๊ะผู้ตัดสินที่ 4 ซึ่งถือว่าเป็นผู้กระทำความผิดอย่างร้ายแรง ส่วนกลุ่มที่สอง คือผู้กระทำผิดแบบไร้มารยาท คือ สามนักเตะจากกลุ่มที่ 1 อภิเชษฐ์ พุฒตาล และ ดักลาส การ์โดโซ ที่จงใจทำร้ายผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม ส่วนกลุ่มที่ 3 คือกลุ่มที่กระทำผิดนอกเกมการแข่งขันคือ ศุภชาติ อภิชาตยานนท์ และ สมพร ธัญญเจริญ ของทหารบก ที่ไม่ได้ลงเล่นแต่ก็เข้าไปร่วมเหตุการณ์ครั้งนี้
จากเหตุการณ์ทั้งหมดจึงได้บทสรุปคำพิพากษามาดังนี้ แอนเดอร์สัน ซานโตส โดนพักการแข่งขัน 1 นัด ใน ศึกเอฟเอคัพ ส่วน 2 นักเตะทหารบก ธาตรี สีหา กับ อนุวัฒน์ น้อยชื่นพันธ์ ถูกพักการแข่งขัน 2 นัด ส่วนความผิดในกลุ่มที่ 2 ถูกตัดคะแนนความประพฤติ คนละ 4 แต้ม และในกลุ่มที่ 3 โดนตัดไปคนละ 12 แต้ม และปรับ คนละ 4,000 บาท ซึ่งก็ถือว่าเป็นไปตามความสมเหตุสมผลจากการกระทำที่เกิดขึ้นของแต่ละบุคคลที่มีความผิดตามโทษฐานมากน้อยต่างกันไป
แต่ในส่วนของทีมทหารบกซึ่งเป็นทีมองค์กรยังไม่จบแค่นั้นกลับมีการสั่งลงโทษทางวินัยกับผู้เล่นของตนเองเพิ่มขึ้นอีกโดยทำการตัดเงินเดือน สองนักเตะที่โดนใบแดง 1 เดือน คือ ธาตรี สีหา และ อนุวัฒน์ น้อยชื่นพันธ์ พร้อมทั้งห้ามลงแข่งในรายการ ไทยคม เอฟ เอ คัพ และ โตโยต้า ลีกคัพ และยังทำทัณฑ์บน สตาฟโค้ชของทหารบกด้วยซึ่งทุกคนที่ถูกพิพากษาต่างก็ยืดอกรับความผิดสมกับความเป็นชายชาติทหารแม้จะถูกตราหน้าจากสังคมว่าเป็นผู้ก่อเกิดความรุนแรงในครั้งนี้ก็ตาม
ทั้งนี้ทั้งนั้นแสดงให้เห็นถึงความมีจิตสำนึกโดยแท้แม้จะเป็นทีมที่ดิ้นรนหนีการตกชั้นเพื่อความอยู่รอดในการแข่งขันระดับ ไทยพรีเมียร์ลีก ก็ยังยอมรับความผิดแม้จะต้องเสียผู้เล่นตัวหลักทั้งสองคนไปหลายนัดก็ตามแต่ก็ไม่มีการเรียกร้องหรืออุธร ฎีกา ใด ๆ ให้มากความ จะเห็นได้ว่าในความมืดย่อมมีแสงสว่างเสมอ แม้จะถูกตราหน้าว่าเป็นผู้กระทำไม่ดีแต่เมื่อกระทำความผิดก็ยอมรับผิดตามโทษานุโทส จึงถือว่าเป็นความน่ายกย่องอีกอย่างหนึ่งของทีมที่ขึ้นชื่อว่าเป็น รั้วของชาติ ผู้อยู่ในกฎ ในระเบียบ เป็นผู้มีวินัย แม้เหตุการณ์ในสนามเขาคือผู้กระทำผิดร้ายแรง แต่ นอกสนามเขาคือ ลูกผู้ชายไทย 100 %
นักเลงลูกหนัง